3P Safety กับ Quality 3.0

0
9
3P Safety กับ Quality 3.0

“Quality 3.0 เป็นกระบวนการ (Process) ซึ่งต้องนำมาปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย (Gold Level) คือ 3P Safety”

การพัฒนาคุณภาพในระบบสุขภาพเป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่องและวิวัฒนาการอย่างยาวนาน โดยมีเป้าหมาย เพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยและสร้างระบบสุขภาพที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงของแนวคิดในแต่ละยุคสะท้อนให้เห็นถึงความลึกซึ้งของระบบคิดและวิธีการที่องค์กรสุขภาพได้นำมาปรับใช้เพื่อรองรับความท้าทายของระบบบริการที่ซับซ้อนมากขึ้น

ในปัจจุบันแนวคิด Quality 3.0 ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะกลไกหลักในการขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวสู่เป้าหมายความปลอดภัยแบบองค์รวม หรือที่เรียกว่า 3P Safety ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสูงสุด (Gold Level) ในระบบคุณภาพและความปลอดภัยของบริการสุขภาพ

ความสัมพันธ์ระหว่าง 3P Safety กับ Quality 3.0 Quality 3.0 เป็น กระบวนการ (Process) ที่ต้องนำมาปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 3P Safety ในระดับ Gold ดังนี้

Quality 3.0 ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือหรือวิธีการในการขับเคลื่อนระบบสาธารณสุข

3P Safety เป็นเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นจากการนำ Quality 3.0 ไปปฏิบัติ

3P Safety เป็นแนวคิดที่ครอบคลุมความปลอดภัยใน 3 มิติ ได้แก่

Patient Safety: การป้องกันอันตรายที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ต่อผู้ป่วยในระหว่างกระบวนการดูแลสุขภาพ

Personnel Safety: การป้องกันอันตรายที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ต่อบุคลากรในระหว่างการทำงาน

People Safety: การป้องกันอันตรายที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ต่อประชาชนหรือชุมชนจากระบบการดูแลสุขภาพและระบบสาธารณสุข

เป้าหมายของ 3P Safety คือ การสร้างระบบที่ปลอดภัยแบบองค์รวม ไม่ทิ้งมิติใดไว้ข้างหลัง และต้องอยู่ในระดับ Gold ซึ่งหมายถึงมาตรฐานสูงสุดที่เป็นเลิศและยั่งยืน

การพัฒนาคุณภาพในระบบสุขภาพ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ยุคหลัก ซึ่งแต่ละยุคสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวคิดและวิธีการในการยกระดับคุณภาพและความปลอดภัย ดังนี้

ยุคที่ 1 Pre-19th Century: The Era of Professional Autonomy (Before 1800s) ฮิปโปเครตีส (Hippocrates) “บิดาแห่งการแพทย์” และจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมความปลอดภัย (Safety Culture) ผ่าน 4 หัวใจหลัก ดังนี้

  1. ความสามารถในการรักษา(Competency)
  2. จริยธรรม (Ethical practice)
  3. การบันทึกสิ่งต่างๆ ใคร ทำอะไร เพื่ออะไร
  4. First to no harm

ยุคนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ Safety Culture: หลัก “First do no harm” เน้นว่า “การดูแลผู้ป่วยต้องปลอดภัยก่อนเสมอ” ซึ่งเป็นรากฐานของแนวคิดความปลอดภัย Patient Safety ในระบบสุขภาพ ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาคุณภาพ การบันทึกข้อมูลและการใช้เหตุผลของฮิปโปเครตีส เป็นจุดเริ่มต้นของการแพทย์ที่อิงหลักฐาน (Evidence-based Medicine)

ยุคที่ 2 Late 20th Century: Patient Safety Movement (1990s – Early 2000s) ซึ่งเกิดรายงานสำคัญในปี 1999 โดย Institute of Medicine (IOM) เรื่อง “To Err is Human: Building a Safer Health System” จุดประกายการเปลี่ยนแปลง มีผู้เสียชีวิตจากความผิดพลาดทางการแพทย์ที่ป้องกันได้ (Preventable Medical Errors) ระหว่าง 44,000-98,000 รายต่อปี ในสหรัฐฯ ซึ่งมากกว่าการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ มะเร็งเต้านม หรือโรคเอดส์ ยุคนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการแพทย์ที่เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของ Patient Safety และการแก้ไขปัญหาความผิดพลาดในระบบ (System-based Error Prevention) โดยเปลี่ยนมุมมองจาก “การโทษบุคคล” มาเป็น “การแก้ไขระบบ” ทำให้เกิดคำจำกัดความของความปลอดภัยของผู้ป่วยโดย WHO (2002): การป้องกันอันตรายที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ต่อผู้ป่วยในระหว่างกระบวนการดูแลสุขภาพ” (The absence of preventable harm to a patient during the process of health care)

ประธานาธิบดีบิล คลินตัน (1999) กล่าวว่า “การสร้างความปลอดภัยให้ผู้ป่วยไม่ใช่การหาคนผิด แต่เป็นการแก้ไขปัญหาในระบบที่ซับซ้อน และการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ข้อผิดพลาดทางการแพทย์ไม่เป็นที่ยอมรับ”

“Care ที่มีคุณภาพ” ต้องผสานมาตรฐานวิชาชีพ (Professional Standard of Care) เข้ากับ แนวคิดความปลอดภัยของผู้ป่วย (Patient Safety Standards) โดยต้องมีองค์ประกอบหลัก ดังนี้

มิติของ คุณภาพ รายละเอียดการปฏิบัติที่สอดคล้องกับมาตรฐาน
Evidence-based Practice ใช้แนวทางเวชปฏิบัติ (Clinical Guidelines), Protocol ที่ยึดตามหลักฐาน
Ethical Care เคารพสิทธิผู้ป่วย มีจริยธรรมในการสื่อสารและตัดสินใจร่วม (Informed Consent)
Patient-Centered Care รับฟังเสียงผู้ป่วย, ออกแบบบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล
Safe Care ใช้ระบบป้องกันข้อผิดพลาด เช่น RCA, FMEA, Alarm Systems
Continuity of Care เชื่อมโยงการดูแลข้ามหน่วยบริการ ไม่มีช่องว่างระหว่างแผนก
Measurable Outcomes วัดผลลัพธ์ทางคลินิก (Clinical Outcome) และความพึงพอใจของผู้รับบริการ

เป็นยุคที่วงการแพทย์หันมาให้ความสำคัญกับการสร้างระบบสุขภาพที่ปลอดภัย โดยเน้นการป้องกันข้อผิดพลาดที่เกิดจากระบบ แทนการโทษบุคคล รายงาน “To Err is Human” และนิยามของ WHO (2002) เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ความปลอดภัยผู้ป่วยกลายเป็นวาระระดับโลก การใช้เครื่องมือเช่น RCA, Lean, และ Six Sigma ช่วยให้ระบบสุขภาพมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

ยุคที่ 3 ของการพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยในระบบสุขภาพ: Predictive and Personalized Healthcare (2020s and Beyond) เป็นยุคที่วงการแพทย์ก้าวเข้าสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine), และอุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพที่เน้นการ คาดการณ์ (Predictive) และ การดูแลเฉพาะบุคคล (Personalized) โดยมุ่งเน้นการสร้างระบบที่ปลอดภัยและยั่งยืนผ่านแนวคิด Quality 3.0 และ 3P Safety โดยมุ่งสร้างระบบที่ปลอดภัยและยั่งยืน

จุดเน้น (Focus): Predictive and Personalized Safety แนวทาง (Approach): AI-driven, Proactive Safety นวัตกรรมหลัก (Key Innovations): AI, Precision Medicine, Wearables องค์ประกอบของระบบบริหารคุณภาพ

Quality Planning: การออกแบบระบบเพื่อบรรลุเป้าหมาย

Quality Control: การควบคุมมาตรฐาน การจัดการอุบัติการณ์

Quality Assurance: การประเมินผล และการเรียนรู้จากระบบ

Quality Improvement: การพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

แนวคิด “Quality Management + Risk Management = Resilience in Healthcare” ช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นและพร้อมรับมือกับความเสี่ยงในอนาคต มาตรฐาน HA ฉบับที่ 5: การประเมินผลแบบมีมิติ

การประเมินตาม Scoring Guideline แบ่งออกเป็น 5 ระดับ เพื่อสะท้อนทั้งกระบวนการและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงในระบบบริการ โดยเน้นการเป็น “แบบอย่างที่ดี” (Role Model Process) และการส่งเสริม Loop of Learning เพื่อการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

แนวคิด Quality 3.0 – Co-production of Health ประชาชนไม่ใช่แค่ผู้รับบริการ แต่เป็น “เจ้าของร่วม” ของระบบสุขภาพ ผ่านการออกแบบระบบร่วม (Co-design) การมีส่วนร่วม (Engagement) และการสร้างระบบคุณภาพที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ จากการให้ข้อมูล การรับฟัง และการสร้างความรู้

ระบบสุขภาพต้องก้าวไปสู่การเป็น Value-creating System Architecture ที่ยึดความเป็นเจ้าของร่วม (Shared Ownership) เพื่อความยั่งยืน “บอกคุณ…ภาพสถานพยาบาล” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน Quality 3.0 และ 3P Safety โดยเน้นการ “มีส่วนร่วมของประชาชน” ในการพัฒนาระบบคุณภาพและความปลอดภัยของสถานพยาบาลเพื่อให้เข้าใจบริบทอย่างครบถ้วน สรุปให้ใน 3 ส่วนดังนี้

  1. Answering the Method: วิธีการบอกคุณภาพผ่านแอป “ทางรัฐ” ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพด้วยการบอกเล่าประสบการณ์การรับบริการ ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” โดยมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้ เข้าแอป “ทางรัฐ” ค้นหาเมนู “บอกคุณภาพ” เลือกหมวด สถานพยาบาลคุณภาพใกล้ฉัน (ค้นหาโรงพยาบาลที่ผ่าน HA) บอกเล่าคุณภาพสถานพยาบาล (เขียนบอกเล่าประสบการณ์จริง) เลือกหัวข้อการบอกเล่า เช่น เรื่องอยากบอก เรื่องอยากเล่า เรื่องเฝ้าระวัง เรื่องให้กำลังใจ เป็นกลไกสำคัญในการรวบรวม “เสียงของประชาชน” ไปพัฒนาคุณภาพบริการโดยตรง
  1. Answering with an Example: ตัวอย่างการใช้งานเชิงคุณภาพ นางสาวเอ (ผู้รับบริการ) เข้าแอป “ทางรัฐ” หลังได้รับบริการในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เธอเลือกเมนู “บอกคุณภาพสถานพยาบาล” และเล่าประสบการณ์เชิงบวกเกี่ยวกับความเอาใจใส่ของพยาบาล รวมถึงแนะนำจุดที่ควรปรับปรุงเรื่องการรอรับยา ข้อมูลนี้ถูกส่งต่อให้โรงพยาบาลพิจารณาปรับปรุงกระบวนการ ใช้ประกอบการประเมินในระบบ HA เป็นฐานข้อมูลที่ช่วยสร้าง “Loop of Learning” เพื่อ Continuous Improvement ระบบสุขภาพก้าวสู่ Value-creating System Architecture ที่ยึด ความเป็นเจ้าของร่วม (Shared Ownership) เพื่อความยั่งยืน

แอป “บอกคุณ…ภาพสถานพยาบาล” เป็นเครื่องมือที่สะท้อนเสียงประชาชน ทำให้ประชาชนกลายเป็น
“พลังร่วมสร้างคุณภาพ” ตามแนวคิด Quality 3.0 และขับเคลื่อน 3P Safety

การพัฒนาคุณภาพในระบบสุขภาพผ่าน 3 ยุคหลัก ตั้งแต่ยุคของฮิปโปเครตีสที่วางรากฐาน Safety Culture
ยุค Patient Safety Movement ที่เน้นการแก้ไขระบบ, และยุค Predictive and Personalized Healthcare
ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสร้างระบบที่ปลอดภัยและยั่งยืน Quality 3.0 เป็นกระบวนการที่ขับเคลื่อนระบบสู่ 3P Safety ในระดับ Gold โดยแอป “บอกคุณ…ภาพสถานพยาบาล” เป็นกลไกสำคัญที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยในระบบสุขภาพไทยอย่างยั่งยืน

ผู้ถอดบทเรียน นางสาววรรษวรรณ กระต่ายจันทร์
พยาบาลวิชาชีพ สถาบันโรคผิวหนัง

ครีเอทีฟคอมมอนส์
งานนี้ใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มาไม่ใช้เพื่อการค้า ไม่คัดแปลง

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here