Reduction of stigma& discrimination as a pathway to build quality culture

0
9
Reduction of stigma& discrimination as a pathway to build quality culture

“การลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติเป็นเส้นทางสู่การสร้างวัฒนธรรมคุณภาพที่แท้จริง การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เริ่มจากพวกเราทุกคนนี้ จะค่อยๆเติบโต และแผ่ขยายเป็นวัฒนธรรมคุณภาพที่เข้มแข็ง นำไปสู่การสร้างบริการสุขภาพที่เท่าเทียมและมีคุณภาพสำหรับผู้ป่วยทุกคน”

“สร้างพฤติกรรมที่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้นอย่างคงเส้นคงวา = วัฒนธรรมคุณภาพ”

การประชุมนี้จัดเป็นรูปแบบ workshop มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความตระหนักผลกระทบการตีตราและเลือกปฏิบัติในกลุ่มผู้ติดเชื้อ HIV ค้นหาแนวทาง ลดการตีตราและเลือกปฏิบัติในหน่วยงาน และพัฒนาคุณภาพ สู่เป้าหมาย U=U

การตีตรา (Stigma) หมายถึง ทัศนคติและความเชื่อเชิงลบที่สังคมหรือบุคคลอาจมีต่อกลุ่มคนบางกลุ่ม ซึ่งมักนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและการกีดกัน ในด้านการดูแลสุขภาพ การตีตราอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดูแลและผลลัพธ์ของผู้ป่วย โดยสร้างอุปสรรคต่อการเข้าถึงและการรักษา

ผลตามมาของการตีตรา (consequences of stigma) ส่งผลให้ลดความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในการรักษา ปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น ความพึงพอใจในการทำงานต่ำลงและการลาออกสูงขึ้นในหมู่พนักงาน นอกจากนี้ยังมีผลกระทบเชิงลบต่อวัฒนธรรมโดยรวมของสถานที่ทำงาน

วิทยากรได้ตั้งคำถามว่า นอกจากวันนี้ที่จะคุยกันเรื่อง PLHIV มีการตีตราผู้ใช้บริการอะไรอีกบ้าง คำตอบของผู้เข้าร่วมประชุมมีดังนี้ 1.ผู้ป่วยจิตเวช 2.สารเสพติด 3.TB และ4.โรคติดต่อร้ายแรง

การตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ข้อมูลผลสำรวจคนไทยมีทัศนคติเลือกปฏิบัติต่อ “ผู้ติดเชื้อเอชไอวี” 27.9% นำไปสู่การเร่งเดินหน้ายุติการตีตรา ขณะที่ผู้ติดเชื้อเอช ไอ วีรายใหม่ 9,230 คนเป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปี เกือบ 50% (4,379 คน) และผลสำรวจดัชนีตีตราและเลือกปฏิบัติในผู้ติดเชื้อเอชไอวีประเทศไทยปีพ.ศ.2566 พบว่าเยาวชนอายุ 18-24 ปี ตีตราตนเองสูงถึง 49.3% ถูกละเมิดสิทธิ 7.5% และถูกเลือกปฏิบัติในชุมชนร้อยละ 9.0

การประมาณการสถานการณ์ S&D-HIV ในสถานบริการสุขภาพระดับประเทศ ปี 2558-2566 ในมุมมองของผู้ให้บริการสุขภาพ พบว่า ยังมีทัศนคติต่อ PLHIV และป้องกันตนเองมากกว่าปกติ และกังวลกลัวการติดเชื้อเอชไอวีในระดับสูงอยู่ร้อยละ 38.7-84.5(เป้าหมายน้อยกว่าร้อยละ 10) ในขณะที่มุมมองของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี เคยตัดสินใจไม่ไปโรงพยาบาลเนื่องจากตีตราตนเองร้อยละ 31.4-52 ซึ่งเป็นอัตราที่สูง(เป้าหมายน้อยกว่าร้อยละ 10)

อ.อนุวัฒน์ ได้เสนอแนวคิด Culture Hacking เจาะจุดอ่อน หาช่องทางในระบบ ใส่ intervention เข้าไป
ทำได้บ่อยๆ เป็นการใช้เทคนิคการสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านการกระตุกต่อมคิดและความรู้สึกผสานกับการเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนกล้าพูดคุยแลกเปลี่ยนที่มุ่งเน้นการเรียนรู้และพัฒนาร่วมกัน การเปลี่ยนแปลงเล็กๆที่เริ่มจากพวกเราทุกคนวันนี้จะค่อยๆเติบโตและแผ่ขยายเป็นวัฒนธรรมคุณภาพที่เข้มแข็ง นำไปสู่การสร้างบริการสุขภาพที่เท่าเทียมและมีคุณภาพสำหรับผู้ป่วยทุกคน

ในห้องประชุม วิทยากรได้เสนอใบงาน เพื่อสำรวจและวิเคราะห์พฤติกรรมของบุคลากรทางการแพทย์ที่อาจส่งผลให้เกิดการตีตราต่อผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS เพื่อระบุผลกระทบของพฤติกรรมเหล่านั้นที่มีต่อผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ และเพื่อสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของการตีตราที่มีต่อการรักษาและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยให้ดู VDO จำนวน 3 เรื่อง และผู้เข้าร่วมประชุมมีการเสนอความคิดเห็นของตนเอง ในแง่พฤติกรรมที่สังเกตเห็น ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ตัวสะกิดและวิธีการนำไปใช้

Undetectable=Untransmittable (U=U) “ตรวจไม่พบ” เท่ากับ “ไม่ถ่ายทอดเชื้อ” หลังจากกินยาต้านเอชไอวี 1-6 เดือนแรกเป็นช่วงที่ปริมาณไวรัสในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว หลังจาก 6 เดือนต่อมาผลการตรวจปริมาณเชื้อไวรัสควรไม่พบเชื้อ (undetectable) การตรวจไม่เจอ ไม่ได้หมายความว่าหายจากการติดเชื้อเอชไอวี ยังต้องกินยาต้านเอชไอวีและพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง U=U ไม่ได้ช่วยในการป้องกันการตั้งครรภ์และไม่ได้ช่วยในการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ดังนั้นควรมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยทุกครั้ง

สรุป

  • เน้นย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงมักเริ่มจากความตระหนัก (awareness) และการกระทำเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวัน
  • ชี้ให้เห็นว่าตัวสะกิดแบบ common sense ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนหรือใช้ทรัพยากรมาก แต่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  • แนะนำให้ผู้เข้าร่วมเลือกตัวสะกิด 1-2 อย่างที่สามารถนำไปทำได้ทันทีหลังจบการประชุม
  • เน้นย้ำว่าการลดการตีตราเป็นความรับผิดชอบของทุกคน ไม่ใช่เพียงนโยบายหรือระบบ
  • สร้างพฤติกรรมที่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้นอย่างคงเส้นคงวา = วัฒนธรรมคุณภาพ

ผู้ถอดบทเรียนผู้ช่วยศาสตราจารย์(พิเศษ)นายแพทย์ปฏิการ ดิสนีเวทย์
กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลหาดใหญ่

ครีเอทีฟคอมมอนส์
งานนี้ใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มาไม่ใช้เพื่อการค้า ไม่คัดแปลง

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here