Sustainability Tale”:Diversity of Sustainability

0
9
Sustainability Tale”:Diversity of Sustainability

“ความปลอดภัยไม่ใช่เพียงกฎ ระเบียบ แต่คือวัฒนธรรม ที่ต้องฝังรากลึกในทุกระดับของสังคม”  “ความยั่งยืน ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง หรือคนแค่บางกลุ่มเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำร่วมกัน เพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่และยั่งยืน”

ศ.วุฒิสาร ต้นไชย “สานพลังสร้างสังคมเกื้อกูล เพื่อสุขภาวะที่ยั่งยืนตลอดไป” อยู่ภายใต้แนวคิดหลัก ของการจัดงานครั้งนี้ คือ การสร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย โดยมีองค์ประกอบ ได้แก่ 1. สังคมเกื้อกูล : สังคมไทยมีทุนทางสังคมที่มีอัตลักษณ์พิเศษ คือ ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ความปรารถนาที่ดีต่อกัน ต่อคนทั่วไป รู้สึกเกื้อกูลต่อกันเป็นพื้นฐาน  ซึ่งความเกื้อกูลแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ความเกื้อกูลโดยธรรมชาติ (เป็นธรรมชาติสังคมไทย) -By Nature ได้แก่ เครือญาติ (Kinship) สถาบันศาสนา/คำสอน และความรู้สึกเป็นคนชุมชนเดียวกัน (Sense of Community) และความเกื้อกูลที่ถูกสร้างขึ้น-By man made ได้แก่ การสร้างเครือข่าย (Network) องค์กรอาสาสมัครเพื่อสาธารณประโยชน์ (Volunteer Group/ Organization) และองค์กรเสมือนจริงที่รวมตัวในรูปแบบภาคประชาสังคม “เราจะรักษาความเกื้อกูลให้ยั่งยืนได้อย่างไร?” เราต้องมีความมั่นคงในเป้าหมาย/ อุดมการณ์/
ผลประโยชน์ เพื่อส่วนรวม ต้องมีสังคมคุณภาพ (Quality of Society) ซึ่งต้องคำนึงถึง สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่เสมอภาคมั่นคง เป็นสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน ต้องมีสังคมที่เป็นปึกแผ่น และเป็นสังคมที่เสริมพลัง ต้องมีสังคมที่มีภูมิคุ้มกัน (Social Immunity) คำนึงถึงความพอเพียง และการพึ่งตนเอง นอกจากนั้นในการสร้างเสริมสุขภาวะ (Well-Being) เป็นกระบวนการที่เอื้ออำนวยให้ประชาชนสามารถเพิ่มความสามารถการควบคุมและปรับปรุงสุขภาพของตนเอง การเข้าถึงสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งการจิตและสังคมนั้น บุคคลหรือกลุ่มบุคคลต้องสามารถระบุถึงสิ่งที่ต้องการบรรลุและไม่บรรลุในสิ่งที่ต้องการได้ รวมถึงสามารถปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม หรือสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้ สุขภาพเป็นแนวคิดด้านบวกที่มุ่งเน้นแหล่งประโยชน์ทางสังคมและแหล่งประโยชน์ส่วนบุคคล รวมถึงศักยภาพทางกายของบุคคล การเสริมสร้างสุขภาพจึงไม่เป็นเพียงความรับผิดชอบของภาคส่วนที่ดูแลสุขภาพเท่านั้น แต่ยังมุ่งไปที่รูปแบบการดำเนินชีวิตที่ส่งผลดีต่อสุขภาพซึ่งจะนำไปสู่การมีสุขภาวะในที่สุด

ปัจจัยพื้นฐานของการมีสุขภาวะที่ดี คือ ความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันในสังคม การมีสันติภาพ มีที่พักอาศัย
การศึกษา อาหาร รายได้ ระบบนิเวศที่มั่นคง และการมีแหล่งทรัพยากรที่เพียงพอ สิ่งที่สำคัญ คือกระบวนการที่เอื้ออำนวยให้ประชาชนเพิ่ม “ความสามารถ” ในการควบคุมและปรับปรุงสุขภาพของตนเอง

จากสถิติพบว่า สุขภาพประชาชนจะดีหรือไม่ ขึ้นกับพฤติกรรม 51% สิ่งแวดล้อม 24% พันธุกรรม 16% และระบบบริการการแพทย์เพียง 9%

ความท้าทายต่อการสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืน ได้แก่ ความสมดุลระหว่างนโยบายสุขภาพที่ดี (Health Care Policy) กับนโยบายการรักษาพยาบาลที่ดี (Medical Care Policy) การจัดสรรทรัพยากร และการจัดลำดับความสำคัญ การปรับบทบาทภาคบริการด้านสุขภาพโดยเฉพาะปฐมภูมิ (Primary Care) ต้องมีการเปลี่ยนบทบาท Mindset และวิธีการปฏิบัติงาน เช่น จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เป็นศูนย์สุขภาวะตำบล เปลี่ยนจากอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน เป็นอาสาสมัครสุขภาวะหมู่บ้าน

  1. สุขภาวะที่ยั่งยืน การสร้างสังคมเกื้อกูล เพื่อสุขภาวะที่ยั่งยืน มีองค์ประกอบ ดังนี้ การสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งในชุมชน และการมีเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและยั่งยืน การศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต ซึ่งการปฏิบัติจริงในชุมชนและระบบสุขภาพ ควรยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People-Centered Care) มีการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และการสื่อสารที่ชัดเจน มีการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การสร้างความเคารพและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม ร่วมถึงการสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วน
  2. วัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย ความเกื้อกูลที่ถูกสร้างขึ้น – By man made ได้แก่ การสร้างเครือข่าย (network) แนวคิดหลักของวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย ประกอบด้วย วัฒนธรรม หมายถึงการปลูกฝังและบ่มเพาะพฤติกรรมในองค์กรหรือสังคม ต้องสร้างผ่านการเรียนรู้และปฏิบัติร่วมกัน คุณภาพ หมายถึงการให้บริการสุขภาพที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการมีสุขภาพดีและเป็นไปตามมาตรฐาน ความปลอดภัยไม่ใช่เพียงลดความเสี่ยงของบุคคล แต่รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบสาธารณสุขโดยรวม

สรุปความยาก คือ การสร้างความตระหนัก รับรู้เรื่องความปลอดภัยว่า เป็นเรื่องสำคัญ (Sense of Safety) ที่ต้องคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลา “ความปลอดภัยไม่ใช่เพียงกฎ ระเบียบ แต่คือวัฒนธรรมที่ต้องฝังรากลึกในทุกระดับของสังคม”

ดร.ธัชไทย กีรติพงศ์ไพบูลย์ “อนาคต SDGs กับระบบบริการสุขภาพไทย ขับเคลื่อนอย่างไรให้ไปถึง”
ที่ผ่านมาทีมงานสหประชาชาติในประเทศไทยมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมาย โดยเน้นความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนเชิงพื้นที่ (SDG localization) เพื่อนำวาระการพัฒนาระดับโลกสู่ชุมชนท้องถิ่นให้บรรลุผลลัพธ์ตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิผล  จาก “A Pathway to 2030 เส้นทางเดินของไทยสู่ความยั่งยืน” เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2000 Million Development Goal (MDG) ถึงปี 2015 จากนั้นมีการหารือกันในการเปลี่ยน paradigm จึงมีการนำเรื่องความยั่งยืนเข้ามาดำเนินการ ดังนั้นปี 2020 จึงเกิดกลไกระดับชาติเพื่อขับเคลื่อน SDGs และมุ่งสู่เป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ ปี 2037

ประเทศไทยมีแผนการขับเคลื่อน SDGs ดังนี้ 1.การสร้างการตระหนักรู้ 2.การเชื่อมโยงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกับ 3 แผนระดับของประเทศ 3.กลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน 4.การดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 5.ภาคีการพัฒนา 6.การติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อน SDGs

โดยมีความท้าทาย คือ ความต้องการบริการสาธารณสุขมีแนวโน้มสูงมากขึ้น ความท้าทายในการกระจายบริการบุคลากรและเครื่องมือทางการแพทย์ และค่าใช้จ่ายสุขภาพที่สูงขึ้นและข้อจำกัดด้านงบประมาณภาครัฐ ซึ่งพบว่าแนวทางที่จะนำไปสู่ระบบบริการสุขภาพที่ “ยั่งยืน” ได้แก่ นำเทคโนโลยีและAIเข้ามาช่วยดำเนินการ สร้างความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพให้แก่ประชาชน กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้บุคลากร

สรุป “SDGs ยังมีประเด็นที่ต้องก้าวไปให้ถึง ซึ่งอีก 5 ปีสู่ 2030 ประเทศไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร เราจึงต้องเสริมจุดแข็งที่มีอยู่ ซ่อมแซมจุดอ่อนในขั้นวิกฤติ”

 ศ. นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา : ระบบบริการสุขภาพยุคใหม่ทำอย่างไรให้ยั่งยืน ระบบบริการสุขภาพยุคใหม่ที่ทำให้เกิดความยั่งยืน ควรมี 1.Policy and Governance 2.Technology and Innovation 3.Community Engagement 4.Resource Management 5.Health Workforce ดังตัวโครงการ นโยบาย กิจกรรม ต่าง ๆ อาทิ จากนโยบายสำคัญ ๆ พบว่าที่ผ่านมาค่ารักษาพยาบาลจาก 4 กองทุน ได้แก่ ข้าราชการมีจำนวนมากที่สุดถึง 18,000 บาท/คน/ปี รองลงมาคือองค์กรปกครองท้องถิ่น12,000 บาท/คน/ปี ประกันสังคม 4,900 บาท/คน/ปี และบัตรทอง 3,800 บาท/คน/ปี ดังนั้น ถึงเวลาหรือยังที่มีนโยบายรวมสิทธิ 3 กองทุน ได้แก่ สปสช. ประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง เป็นหนึ่ง แต่ทั้งนี้ยังมีข้อจำกัดเป็นที่ถกเถียงกันไม่สามารถหาข้อสรุปได้ สำหั้บด้าน Technology and Innovation มีตัวอย่างเรื่องการใช้ยาสมุนไพรเข้ามาในระบบสุขภาพให้มากขึ้น Herbal Medicine การขยายสัดส่วนสมุนไพร ขยายเพดานงบประมาณการเบิกจ่ายยาสมุนไพรไปที่ 1,500 ล้านบาท ใช้ดูแลสิทธิบัตรทอง การเพิ่มมูลค่าสมุนไพรขมิ้นชัน จากการปลูกโดยชาวบ้านเมื่อเก็บเกี่ยวจะได้มูลค่าเพียง 20 บาท แต่หากนำมาแปรรูปผ่านกระบวนการผลิตที่ทันสมัยเป็นตัวยา มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 80,000 บาท การมี Excellent Center for Dug Discovery โครงการน่านSandbox เปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวโพดที่ต้องมีการเผาเกิดมลพิษ มาสู่การปลูกพืชสมุนไพรเป็นยา สามารถเพิ่มมูลค่า Health-Wealth-Equity Model เกิดศูนย์ความเป็นเลิศด้านผลิตยาและสมุนไพร (ผลิตยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร ผลิตเครื่องสำอาง ควบคุมคุณภาพ วิจัยและพัฒนา) โครงการ FoodSERP Platform
ชูวิจัย ขุมพลังวิจัย เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของไทยสู่ความยั่งยืน โครงการพัฒนาอาหารและสมุนไพรไทย โครงการแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์เซลล์บำบัดและอุปกรณ์ชีววิศวกรรมการแพทย์แบบผสม Siam Bioscience/ Tele medicine เป็นต้น

กล่าวโดยสรุป : ระบบบริการสุขภาพยุคใหม่จะยั่งยืนได้ต้องอาศัย นวัตกรรม เทคโนโลยี การจัดสรรทรัพยากรที่เป็นธรรม การพัฒนาคน และการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกันและมีนโยบายที่ยืดหยุ่นและมองการณ์ไกล ระบบสุขภาพที่ยั่งยืนและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในระยะยาวจะเกิดขึ้นได้จริง

ผู้ถอดบทเรียน ดร.สดศรี พูลผล
หัวหน้างานพัฒนาคุณภาพงาน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ครีเอทีฟคอมมอนส์
งานนี้ใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มาไม่ใช้เพื่อการค้า ไม่คัดแปลง

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here