“ความปลอดภัยไม่ใช่เพียงกฎ ระเบียบ แต่คือวัฒนธรรม ที่ต้องฝังรากลึกในทุกระดับของสังคม” “ความยั่งยืน ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง หรือคนแค่บางกลุ่มเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำร่วมกัน เพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่และยั่งยืน”
ศ.วุฒิสาร ต้นไชย “สานพลังสร้างสังคมเกื้อกูล เพื่อสุขภาวะที่ยั่งยืนตลอดไป” อยู่ภายใต้แนวคิดหลัก ของการจัดงานครั้งนี้ คือ การสร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย โดยมีองค์ประกอบ ได้แก่ 1. สังคมเกื้อกูล : สังคมไทยมีทุนทางสังคมที่มีอัตลักษณ์พิเศษ คือ ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ความปรารถนาที่ดีต่อกัน ต่อคนทั่วไป รู้สึกเกื้อกูลต่อกันเป็นพื้นฐาน ซึ่งความเกื้อกูลแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ความเกื้อกูลโดยธรรมชาติ (เป็นธรรมชาติสังคมไทย) -By Nature ได้แก่ เครือญาติ (Kinship) สถาบันศาสนา/คำสอน และความรู้สึกเป็นคนชุมชนเดียวกัน (Sense of Community) และความเกื้อกูลที่ถูกสร้างขึ้น-By man made ได้แก่ การสร้างเครือข่าย (Network) องค์กรอาสาสมัครเพื่อสาธารณประโยชน์ (Volunteer Group/ Organization) และองค์กรเสมือนจริงที่รวมตัวในรูปแบบภาคประชาสังคม “เราจะรักษาความเกื้อกูลให้ยั่งยืนได้อย่างไร?” เราต้องมีความมั่นคงในเป้าหมาย/ อุดมการณ์/
ผลประโยชน์ เพื่อส่วนรวม ต้องมีสังคมคุณภาพ (Quality of Society) ซึ่งต้องคำนึงถึง สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่เสมอภาคมั่นคง เป็นสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน ต้องมีสังคมที่เป็นปึกแผ่น และเป็นสังคมที่เสริมพลัง ต้องมีสังคมที่มีภูมิคุ้มกัน (Social Immunity) คำนึงถึงความพอเพียง และการพึ่งตนเอง นอกจากนั้นในการสร้างเสริมสุขภาวะ (Well-Being) เป็นกระบวนการที่เอื้ออำนวยให้ประชาชนสามารถเพิ่มความสามารถการควบคุมและปรับปรุงสุขภาพของตนเอง การเข้าถึงสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งการจิตและสังคมนั้น บุคคลหรือกลุ่มบุคคลต้องสามารถระบุถึงสิ่งที่ต้องการบรรลุและไม่บรรลุในสิ่งที่ต้องการได้ รวมถึงสามารถปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม หรือสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้ สุขภาพเป็นแนวคิดด้านบวกที่มุ่งเน้นแหล่งประโยชน์ทางสังคมและแหล่งประโยชน์ส่วนบุคคล รวมถึงศักยภาพทางกายของบุคคล การเสริมสร้างสุขภาพจึงไม่เป็นเพียงความรับผิดชอบของภาคส่วนที่ดูแลสุขภาพเท่านั้น แต่ยังมุ่งไปที่รูปแบบการดำเนินชีวิตที่ส่งผลดีต่อสุขภาพซึ่งจะนำไปสู่การมีสุขภาวะในที่สุด
ปัจจัยพื้นฐานของการมีสุขภาวะที่ดี คือ ความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันในสังคม การมีสันติภาพ มีที่พักอาศัย
การศึกษา อาหาร รายได้ ระบบนิเวศที่มั่นคง และการมีแหล่งทรัพยากรที่เพียงพอ สิ่งที่สำคัญ คือกระบวนการที่เอื้ออำนวยให้ประชาชนเพิ่ม “ความสามารถ” ในการควบคุมและปรับปรุงสุขภาพของตนเอง
จากสถิติพบว่า สุขภาพประชาชนจะดีหรือไม่ ขึ้นกับพฤติกรรม 51% สิ่งแวดล้อม 24% พันธุกรรม 16% และระบบบริการการแพทย์เพียง 9%
ความท้าทายต่อการสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืน ได้แก่ ความสมดุลระหว่างนโยบายสุขภาพที่ดี (Health Care Policy) กับนโยบายการรักษาพยาบาลที่ดี (Medical Care Policy) การจัดสรรทรัพยากร และการจัดลำดับความสำคัญ การปรับบทบาทภาคบริการด้านสุขภาพโดยเฉพาะปฐมภูมิ (Primary Care) ต้องมีการเปลี่ยนบทบาท Mindset และวิธีการปฏิบัติงาน เช่น จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เป็นศูนย์สุขภาวะตำบล เปลี่ยนจากอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน เป็นอาสาสมัครสุขภาวะหมู่บ้าน
- สุขภาวะที่ยั่งยืน การสร้างสังคมเกื้อกูล เพื่อสุขภาวะที่ยั่งยืน มีองค์ประกอบ ดังนี้ การสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งในชุมชน และการมีเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและยั่งยืน การศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต ซึ่งการปฏิบัติจริงในชุมชนและระบบสุขภาพ ควรยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People-Centered Care) มีการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และการสื่อสารที่ชัดเจน มีการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การสร้างความเคารพและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม ร่วมถึงการสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วน
- วัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย ความเกื้อกูลที่ถูกสร้างขึ้น – By man made ได้แก่ การสร้างเครือข่าย (network) แนวคิดหลักของวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย ประกอบด้วย วัฒนธรรม หมายถึงการปลูกฝังและบ่มเพาะพฤติกรรมในองค์กรหรือสังคม ต้องสร้างผ่านการเรียนรู้และปฏิบัติร่วมกัน คุณภาพ หมายถึงการให้บริการสุขภาพที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการมีสุขภาพดีและเป็นไปตามมาตรฐาน ความปลอดภัยไม่ใช่เพียงลดความเสี่ยงของบุคคล แต่รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบสาธารณสุขโดยรวม
สรุปความยาก คือ การสร้างความตระหนัก รับรู้เรื่องความปลอดภัยว่า เป็นเรื่องสำคัญ (Sense of Safety) ที่ต้องคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลา “ความปลอดภัยไม่ใช่เพียงกฎ ระเบียบ แต่คือวัฒนธรรมที่ต้องฝังรากลึกในทุกระดับของสังคม”
ดร.ธัชไทย กีรติพงศ์ไพบูลย์ “อนาคต SDGs กับระบบบริการสุขภาพไทย ขับเคลื่อนอย่างไรให้ไปถึง”
ที่ผ่านมาทีมงานสหประชาชาติในประเทศไทยมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมาย โดยเน้นความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนเชิงพื้นที่ (SDG localization) เพื่อนำวาระการพัฒนาระดับโลกสู่ชุมชนท้องถิ่นให้บรรลุผลลัพธ์ตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิผล จาก “A Pathway to 2030 เส้นทางเดินของไทยสู่ความยั่งยืน” เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2000 Million Development Goal (MDG) ถึงปี 2015 จากนั้นมีการหารือกันในการเปลี่ยน paradigm จึงมีการนำเรื่องความยั่งยืนเข้ามาดำเนินการ ดังนั้นปี 2020 จึงเกิดกลไกระดับชาติเพื่อขับเคลื่อน SDGs และมุ่งสู่เป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ ปี 2037
ประเทศไทยมีแผนการขับเคลื่อน SDGs ดังนี้ 1.การสร้างการตระหนักรู้ 2.การเชื่อมโยงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกับ 3 แผนระดับของประเทศ 3.กลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน 4.การดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 5.ภาคีการพัฒนา 6.การติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อน SDGs
โดยมีความท้าทาย คือ ความต้องการบริการสาธารณสุขมีแนวโน้มสูงมากขึ้น ความท้าทายในการกระจายบริการบุคลากรและเครื่องมือทางการแพทย์ และค่าใช้จ่ายสุขภาพที่สูงขึ้นและข้อจำกัดด้านงบประมาณภาครัฐ ซึ่งพบว่าแนวทางที่จะนำไปสู่ระบบบริการสุขภาพที่ “ยั่งยืน” ได้แก่ นำเทคโนโลยีและAIเข้ามาช่วยดำเนินการ สร้างความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพให้แก่ประชาชน กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้บุคลากร
สรุป “SDGs ยังมีประเด็นที่ต้องก้าวไปให้ถึง ซึ่งอีก 5 ปีสู่ 2030 ประเทศไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร เราจึงต้องเสริมจุดแข็งที่มีอยู่ ซ่อมแซมจุดอ่อนในขั้นวิกฤติ”
ศ. นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา : ระบบบริการสุขภาพยุคใหม่ทำอย่างไรให้ยั่งยืน ระบบบริการสุขภาพยุคใหม่ที่ทำให้เกิดความยั่งยืน ควรมี 1.Policy and Governance 2.Technology and Innovation 3.Community Engagement 4.Resource Management 5.Health Workforce ดังตัวโครงการ นโยบาย กิจกรรม ต่าง ๆ อาทิ จากนโยบายสำคัญ ๆ พบว่าที่ผ่านมาค่ารักษาพยาบาลจาก 4 กองทุน ได้แก่ ข้าราชการมีจำนวนมากที่สุดถึง 18,000 บาท/คน/ปี รองลงมาคือองค์กรปกครองท้องถิ่น12,000 บาท/คน/ปี ประกันสังคม 4,900 บาท/คน/ปี และบัตรทอง 3,800 บาท/คน/ปี ดังนั้น ถึงเวลาหรือยังที่มีนโยบายรวมสิทธิ 3 กองทุน ได้แก่ สปสช. ประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง เป็นหนึ่ง แต่ทั้งนี้ยังมีข้อจำกัดเป็นที่ถกเถียงกันไม่สามารถหาข้อสรุปได้ สำหั้บด้าน Technology and Innovation มีตัวอย่างเรื่องการใช้ยาสมุนไพรเข้ามาในระบบสุขภาพให้มากขึ้น Herbal Medicine การขยายสัดส่วนสมุนไพร ขยายเพดานงบประมาณการเบิกจ่ายยาสมุนไพรไปที่ 1,500 ล้านบาท ใช้ดูแลสิทธิบัตรทอง การเพิ่มมูลค่าสมุนไพรขมิ้นชัน จากการปลูกโดยชาวบ้านเมื่อเก็บเกี่ยวจะได้มูลค่าเพียง 20 บาท แต่หากนำมาแปรรูปผ่านกระบวนการผลิตที่ทันสมัยเป็นตัวยา มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 80,000 บาท การมี Excellent Center for Dug Discovery โครงการน่านSandbox เปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวโพดที่ต้องมีการเผาเกิดมลพิษ มาสู่การปลูกพืชสมุนไพรเป็นยา สามารถเพิ่มมูลค่า Health-Wealth-Equity Model เกิดศูนย์ความเป็นเลิศด้านผลิตยาและสมุนไพร (ผลิตยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร ผลิตเครื่องสำอาง ควบคุมคุณภาพ วิจัยและพัฒนา) โครงการ FoodSERP Platform
ชูวิจัย ขุมพลังวิจัย เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของไทยสู่ความยั่งยืน โครงการพัฒนาอาหารและสมุนไพรไทย โครงการแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์เซลล์บำบัดและอุปกรณ์ชีววิศวกรรมการแพทย์แบบผสม Siam Bioscience/ Tele medicine เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป : ระบบบริการสุขภาพยุคใหม่จะยั่งยืนได้ต้องอาศัย นวัตกรรม เทคโนโลยี การจัดสรรทรัพยากรที่เป็นธรรม การพัฒนาคน และการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกันและมีนโยบายที่ยืดหยุ่นและมองการณ์ไกล ระบบสุขภาพที่ยั่งยืนและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในระยะยาวจะเกิดขึ้นได้จริง
ผู้ถอดบทเรียน ดร.สดศรี พูลผล
หัวหน้างานพัฒนาคุณภาพงาน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล












































