ใครๆ ก็อยากมีสุขภาพที่ดี มีร่างกายที่แข็งแรงกันทุกคนใช่ใหมครับ บุคลากรในโรงพยาบาลก็คงเช่นเดียวกัน
วันนี้เคล็ดลับงานคุณภาพ ชวนมาเรียนรู้ สุขภาพและความปลอดภัยของบุคลากรในโรงพยาบาล ด้วยกันครับ
ถึงแม้ว่าโรงพยาบาลจะเป็นสถานที่ที่ใช้ในการดูแลรักษาพยาบาลผู้เจ็บไข้ได้ป่วย และเป็นที่คาดหวังว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัยสูงและมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเยียวยา แต่ในสภาพความเป็นจริง มีการศึกษาวิจัยที่พบว่า บุคลากรที่ทำงานในโรงพยาบาลมีการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยไม่น้อยกว่าบุคลากรในสถานประกอบการประเภทอื่น การบริหารจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยสำหรับบุคลากรภายในโรงพยาบาลเพื่อให้โรงพยาบาลมีกำลังคนที่มีสุขภาพดี และสามารถปฏิบัติภารกิจต่างๆได้ลุล่วงโดยไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเสียก่อน จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการบริหารองค์กร ปัจจัยหลัก 3 ประการที่ต้องคำนึงถึง ในการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของบุคลากรในโรงพยาบาล ได้แก่
🎯1. การดูแลสุขภาพของกำลังคน (healthy workforce) เช่น การประเมินสุขภาพตั้งแต่แรกเข้าทำงาน การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคติดต่อที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน การตรวจสุขภาพประจำปี การดูแลรักษาอย่างเหมาะสมเมื่อเกิดการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย และการให้ความรู้เพื่อสร้างความตระหนักในภัยในที่ทำงาน
🎯 2. การปรับปรุงให้สถานที่ทำงานเอื้อต่อการสร้างสุขภาพและความปลอดภัย (healthy workplace) โดยตั้งเป้าลดโอกาสที่บุคลากรจะเกิดการบาดเจ็บจากการทำงาน และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการประกอบอาชีพ การดำเนินงานอาจใช้วิธีการออกแบบอุปกรณ์การทำงานอย่างเหมาะสม การเดินสำรวจความเสี่ยงที่หน้างานอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ได้ข้อมูลมาใช้ในการปรับปรุง และการวางระบบรายงานความเสี่ยง/ รายงานอุบัติการณ์ เพื่อนำข้อมูลมาหาสาเหตุราก แล้วนำสู่การปรับปรุงพัฒนากระบวนงาน และการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันอันตราย
🎯 3. การวางแนวปฏิบัติเพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉิน (emergency preparedness) ที่อาจเกิดขึ้นได้ในโรงพยาบาลและส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพของบุคลากร เช่น อัคคีภัย การรั่วไหลของสารเคมีอันตราย/ สารกัมมันตภาพรังสี การระบาดของโรคติดเชื้อ
Image by rawpixel from Pixabay
ในปี 2561 มีรายงานผู้ป่วยสูงอายุไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งด้วยอาการขาอ่อนแรง ระหว่างรอผลการตรวจเลือดบนเตียงนอน เตียงเกิดกระดก ทำให้ผู้ป่วยตกเตียงทางตอนท้ายของเตียง ตรวจร่างกายขณะนั้น ไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน แต่หลังจากกลับบ้านได้ 4 วัน ผู้ป่วยกลับมาอีกครั้งด้วยอาการปวดขา ขาบวม ขยับขาไม่ได้ x-ray พบกระดูกต้นขาขวาหัก ผู้ป่วยรายนี้เกิดการตกเตียงที่แผนกผู้ป่วยนอกในระหว่างรอผลการตรวจเลือด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทีมงานของโรงพยาบาลมักจะไม่ได้ดูแลผู้ป่วยใกล้ชิดนัก
โดยทั่วไป การลื่นตกหกล้มมักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยสูงอายุและเด็กเล็กที่นอนอยู่ในหอผู้ป่วยใน เหตุการณ์นี้จึงช่วยเตือนทีมงานโรงพยาบาลว่าการลื่นตกหกล้มสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกจุดของการให้บริการ
แนวทางปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงของเหตุการณ์ผู้ป่วยลื่นตกหกล้ม คือ
เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และทักษะ ของบุคลากรและญาติ ในเรื่องการป้องกันผู้ป่วยลื่นตกหกล้ม
ประเมินความเสี่ยงต่อการลื่นตกหกล้ม ด้วย Morse Fall Risk Assessment หรือ Hendrich Fall Risk Assessment ในขณะแรกรับ และติดตามประเมินความเสี่ยงซ้ำเป็นระยะ
ประเมินปัจจัยที่ทำให้การลื่นตกหกล้มแล้วจะเกิดการบาดเจ็บที่รุนแรง และถามประวัติเกี่ยวกับการลื่นตกหกล้มในอดีตที่เกิดการบาดเจ็บรุนแรงตั้งแต่แรกรับ
จัดสภาพแวดล้อมและอุปกรณ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการลื่นตกหกล้ม เช่น ใช้เตียงที่มีระดับต่ำ เตียงมีความมั่นคง มีอุปกรณ์เครื่องช่วยเดินประจำห้องและมีราวเกาะในจุดเสี่ยง ติดตั้งอุปกรณ์ที่ส่งสัญญาณเตือนเมื่อผู้ป่วยพยายามลุกจากเตียง การใช้พื้นห้องน้ำที่ไม่ลื่น
ทบทวนและปรับยาที่ทำให้ผู้ป่วยลื่นตกหกล้มได้ง่าย โดยเฉพาะยาทางจิตเวช
Photo by Daan Stevens on Unsplash
จากการที่สมรรถนะของคอมพิวเตอร์สูงขึ้นอย่างมากประกอบกับการพัฒนาขั้นตอนการเรียนรู้ด้วยตัวคอมพิวเตอร์เอง โดยไม่จำเป็นต้องให้มนุษย์มาคอยป้อนเงื่อนไขการเรียนรู้ให้ทุกครั้ง ทำให้ปัจจุบัน Artificial Intelligence (AI) เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้คอมพิวเตอร์ทำกิจกรรมหลายอย่างได้เหนือกว่ามนุษย์ และเชื่อได้ว่า AI จะเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารในบริการด้านการรักษาพยาบาลในระยะเวลาอีกไม่นานนักนับจากนี้
ตัวอย่างการพัฒนา AI เพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล จนมีความถูกต้องแม่นยำไม่ต่างจากมนุษย์ แต่มีความรวดเร็วสูงกว่ามาก ได้แก่
การอ่านรูปภาพจอประสาทตา (retina) เพื่อวินิจฉัยพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นที่จอประสาทตา
การอ่านผลชิ้นเนื้อจากการตัดชิ้นเนื้อก้อนที่เต้านม เพื่อหาว่ามีเซลล์มะเร็งหรือไม่
การอ่านภาพที่ถ่ายจากกล้องส่องทางเดินอาหาร (endoscope) เพื่อวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร และการใช้ AI แบบ real time พร้อมการส่องกล้องจริง เพื่อช่วย screen พื้นที่ต้องสงสัย เพื่อให้แพทย์ใช้เวลาดูพื้นที่นั้นเพิ่มขึ้น และการประมวลข้อมูลทั้งหมด เพื่อเตือนแพทย์ว่ามีพื้นที่ส่วนใดที่ยังไม่ได้ส่องกล้องดูบ้าง
การใช้ AI ตรวจข้อมูลการบันทึกทางการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประมวลผลและเตือนว่าผู้ป่วยมีโอกาสตกเตียงสูง
การใช้ AI ประมวลผลจากการสนทนาระหว่างจิตแพทย์กับผู้ป่วย เพื่อช่วยจิตแพทย์ในการสรุปว่าผู้ป่วยมีปัญหาทางจิตหรือไม่ และในด้านใด
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก AI น่าจะต้องใช้เวลาพัฒนาอีกช่วงหนึ่งกว่าจะใช้งานได้จริง ภายใต้ราคาที่จ่ายได้ แต่ถ้าทุกอย่างลงตัว การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าบุคลากรทางการแพทย์ไม่ได้มีการเรียนรู้และเตรียมตัวไว้บ้าง เราก็อาจจะถูกเทคโนโลยีใหม่ๆ ผลักออกจากบริการด้านการรักษาพยาบาลอย่างไม่ทันตั้งตัว ในขณะเดียวกัน การใช้ AI อย่างสุดขั้ว ก็อาจเป็นการทำลายองค์ความรู้ที่สั่งสมมาในบุคลากรทางการแพทย์อย่างเนิ่นนาน และกลายเป็นว่าโรงพยาบาลต้องพึ่ง...
แหล่งข้อมูลหลักที่จะช่วยในการค้นหาและทบทวนเรื่องการวินิจฉัยโรคผิดพลาดในโรงพยาบาล ได้แก่ บันทึกการวินิจฉัยในเวชระเบียน เรื่องร้องเรียน/ เรื่องที่มีการฟ้องร้อง และผลการตรวจเอกซเรย์/ ผลการอ่านชิ้นเนื้อ การทบทวนควรทำโดยทีมงานที่มีผู้ที่มีความชำนาญในสาขานั้นๆ ร่วมด้วย โดยยึดหลักการว่าทำการทบทวนเพื่อการเรียนรู้และพัฒนากระบวนงานให้ดีขึ้น ไม่ได้มุ่งหาผู้ผิด
เวลาเข้าเยี่ยมโรงพยาบาล สิ่งที่ผู้เยี่ยมสำรวจของ สรพ. มักจะใช้เป็นต้นทางในการตามรอยเรื่องการวินิจฉัยโรคผิดพลาด คือ จำนวนการเกิด missed/ wrong/ delayed diagnosis ที่ ER และ OPD ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ก็จะดูการทบทวนของโรงพยาบาลว่า นำไปสู่การที่จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ถูกต้องแม่นยำขึ้นจริงหรือไม่ ถ้าไม่น่าจะใช่ ก็จะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกัน กลุ่มโรคที่มักจะมีรายงาน missed/ wrong/ delayed diagnosis ได้แก่ ไส้ติ่งอักเสบ ตั้งครรภ์นอกมดลูก โรคกล้ามเนื้อหัวใจวายเฉียบพลัน และม้ามแตก
นอกจากนี้ การสื่อสารระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคของผู้ป่วยก็เป็นปัญหาสำคัญ จากการสำรวจประสบการณ์ของผู้ป่วยพบว่า ข้อขัดข้องใจลำดับต้นๆ ของผู้ป่วย คือ การไม่ได้รับคำอธิบายที่เพียงพอถึงโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ และแผนการรักษาพยาบาล
สรุปแนวทางในการลดข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยโรค คือ
ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ป่วย และครอบครัว ในทุกขั้นตอนของกระบวนงานเพื่อการวินิจฉัยโรค
เพิ่มพูนความรู้ของบุคลากรทางการแพทย์ในเรื่องการวินิจฉัยโรคที่ทันยุคทันสมัย
พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยโรค
ออกแบบเกณฑ์การจ่ายเงินและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ช่วยเกื้อหนุนกระบวนงานวินิจฉัยโรคที่เป็นไปตามหลักวิชาการ
ส่งเสริมการรายงานข้อผิดพลาด เพื่อนำมาทบทวน เรียนรู้ และนำสู่การพัฒนากระบวนงาน
Photo by...
ในมาตรฐานฉบับใหม่ในหัวข้อ “การวินิจฉัยโรค” ได้มีการกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ดังนี้
“มีการกำหนดเรื่องการลดข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยโรคเป็นเป้าหมายความปลอดภัยผู้ป่วย โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเข้ม มีการปรับปรุงและติดตามผลต่อเนื่อง”
การวินิจฉัยโรคผิดพลาดหมายถึง ความล้มเหลวที่จะได้มาซึ่งคำอธิบายที่ถูกต้องแม่นยำ ครบถ้วนสมบูรณ์ ภายในเวลาที่เหมาะสม สำหรับปัญหาสุขภาพที่ผู้ป่วยเผชิญอยู่ และรวมไปถึงความล้มเหลวในการสื่อสารคำอธิบายนี้ให้ผู้ป่วยได้เข้าใจด้วย
การวินิจฉัยโรคผิดพลาดมีได้ทั้งในลักษณะ missed (ไม่สามารถวินิจฉัยได้ ทั้งที่มีข้อมูลเพียงพอที่ควรจะวินิจฉัยได้), wrong (วินิจฉัยผิดไปจากโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่), และ delayed (วินิจฉัยได้ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น)
มีการศึกษาในต่างประเทศที่แสดงว่า เราทุกคนมีโอกาสพบกับการวินิจฉัยผิดพลาดอย่างน้อยครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตของเรา, 5% ของผู้ป่วยนอกจะเกิดการวินิจฉัยผิดพลาด, 7 – 17% ของเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในกลุ่มผู้ป่วยในมีความเชื่อมโยงกับการวินิจฉัยผิดพลาด และ 29% ของการเรียกร้องค่าเสียหายจากการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานมีสาเหตุมาจากการวินิจฉัยผิดพลาด
สาเหตุที่ก่อให้เกิดการวินิจฉัยโรคผิดพลาดจำแนกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก คือ
สาเหตุจากผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยรายนี้มีอาการและอาการแสดงของโรคแตกต่างไปจากผู้ป่วยทั่วไป ผู้ป่วยปกปิดข้อมูลหรือให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน
สาเหตุจากระบบงานของโรงพยาบาล เช่น การสื่อสารที่คลาดเคลื่อน การประสานงานที่ไม่ดี เครื่องมือหรือน้ำยาที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน
สาเหตุจากข้อจำกัดด้านความรู้ความสามารถของบุคลากร เช่น ความรู้ที่ไม่ทันยุคสมัย ความจำที่คลาดเคลื่อนไปจากทฤษฎี การคิดที่ไม่เป็นระบบ การเก็บรวบรวมข้อมูลที่ไม่เพียงพอต่อการวินิจฉัยโรค
สาเหตุข้อ 3. เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
Photo by Ani Kolleshi on Unsplash
ในมาตรฐานฉบับใหม่ในเรื่องการประเมินผู้ป่วย มีการเพิ่มเติมในประเด็น
- ควรมีการประเมินความชอบส่วนบุคคล ทั้งนี้ เพื่อให้ทีมงานสามารถจัดบริการได้อย่างสอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วย การตอบสนองความชอบส่วนบุคคลมักจะทำให้ผู้ป่วยผ่อนคลายกับบรรยากาศที่ต้องมาอยู่ในโรงพยาบาลมากขึ้น ตัวอย่างความชอบส่วนบุคคล เช่น การเรียกคำแทนตัวผู้ป่วย เสื้อผ้า อาหารเครื่องดื่ม มื้ออาหาร การให้คนเข้าเยี่ยม แต่เรื่องนี้ ไม่ได้คาดหวังว่าโรงพยาบาลจะต้องไปสร้างแบบฟอร์มใหม่ ให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่ในการกรอกข้อมูล แต่มุ่งหวังให้เจ้าหน้าที่มีความไวมากขึ้นในการรับรู้ความต้องการของผู้ป่วย
- การให้ความสำคัญกับการลดความผิดพลาด/ ความล่าช้า ในการวินิจฉัยโรค เนื่องจากประเด็นนี้กระทบต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย และยังเป็นปัญหาสำคัญของโรงพยาบาล คลินิก และงานบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยควรมีการทบทวนเหตุการณ์ความผิดพลาด/ ความล่าช้า ในการวินิจฉัยโรค โดยทีมงานที่ประเมินผู้ป่วยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาโอกาสในการพัฒนากระบวนการประเมินผู้ป่วยให้มีความถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็วมากขึ้น
ในบท การประเมินผู้ป่วย หัวข้อ การส่งตรวจเพื่อการวินิจฉัยโรค ข้อ 4. ได้กำหนดว่า
“มีการอธิบายผลการตรวจเพื่อการวินิจฉัยโรคแก่ผู้ป่วย. มีการพิจารณาการส่งตรวจเพิ่มเติมเมื่อพบว่าผลการตรวจมีความผิดปกติ”
การอธิบายผลการตรวจเพื่อการวินิจฉัยโรคแก่ผู้ป่วยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสื่อสารที่ทำให้ผู้ป่วยรับรู้ว่า ผลการตรวจไม่ว่าจะปกติหรือผิดปกติ มีความหมายว่าอย่างไร สอดคล้องกับประวัติผู้ป่วยและผลการตรวจร่างกายหรือไม่ และจะต้องมีการตรวจเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ทั้งนี้ ข้อความในมาตรฐานกำหนดขึ้นบนฐานความเชื่อที่ว่า การประเมินความต้องการและปัญหาสุขภาพอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเหมาะสม ต้องการการมีส่วนร่วมรับรู้และตัดสินใจจากผู้ป่วยและญาติ
ตัวอย่างเช่น เมื่อผลการตรวจเอกซเรย์ปอดหญิงอายุ 80 ปี พบก้อนที่ปอดข้างซ้ายขนาดประมาณ 4 เซนติเมตร ซึ่งโตขึ้นกว่าผลเอกซเรย์ปอดปีก่อนประมาณ 1 เซนติเมตร...
การระบุตัวผู้ป่วยผิดพลาดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในประเทศไทยก็มีการเกิดเหตุการณ์นี้อยู่เป็นระยะ การระบุตัวผู้ป่วยผิดพลาดรวมถึงการระบุสิ่งส่งตรวจจากตัวผู้ป่วยและชิ้นเนื้อที่ผิดพลาดด้วย ความผิดพลาดนี้นำมาสู่การวินิจฉัย การให้ยา และการให้การรักษาที่ผิดพลาด
การป้องกัน identification error ที่อ้างอิงจากหนังสือ patient Safety Goals : SIMPLE version 2008 และมีการปรับปรุงเพิ่มเติม มีดังนี้
ใช้ตัวบ่งชี้อย่างน้อย 2 ตัว (เช่น ชื่อ-นามสกุล, และวันเกิด) เพื่อยืนยันตัวบุคคลในทุกจุดที่มีการส่งมอบผู้ป่วยให้จุดบริการถัดไปหรือจำหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล
กำหนดให้วิธีการบ่งชี้ผู้ป่วยเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งองค์กร เช่น ใช้ป้ายข้อมือสีขาวซึ่งมีรูปแบบมาตรฐานที่สามารถเขียนข้อมูลเฉพาะลงไปได้ หรือใช้ biometric technology หรือใช้ระบบ barcode
ไม่ถามนำ เช่น ชื่อ “สมศักดิ์” ใช่ไหมคะ แต่ให้ผู้ป่วยระบุชื่อ-นามสกุลด้วยตนเอง
จัดให้มีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนในการบ่งชี้ผู้ป่วยซึ่งไม่มีตัวบ่งชี้และเพื่อแยกแยะผู้ป่วยที่มีชื่อซ้ำกัน รวมทั้งแนวทางการบ่งชี้ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวหรือสับสนที่ไม่ใช้การซักถาม
ทำความเข้าใจกับผู้ป่วยและญาติว่าทำไมต้องถามชื่อซ้ำในทุกจุด และส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในทุกขั้นของของกระบวนการบ่งชี้ผู้ป่วย
เขียนฉลากที่ภาชนะสำหรับใส่เลือดและสิ่งส่งตรวจอื่นๆ ต่อหน้าผู้ป่วย
จัดให้มีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนในการรักษา identity สิ่งส่งตรวจของผู้ป่วยตลอดกระบวนการตรวจวิเคราะห์ตั้งแต่ pre-analytical, analytical และ post-analytical process
จัดให้มีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนในการสอบถามเมื่อผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือการตรวจอื่นๆ ไม่สอดคล้องกับประวัติหรือสภาวะทางคลินิกของผู้ป่วย
ตามรอยการปฏิบัติจริงที่หน้างานเป็นระยะ
10. ในกรณีที่เป็นการผ่าตัด ควรนำ Surgical...
ในมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับที่ 4 มีประเด็นใหม่ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเข้าถึงและเข้ารับบริการหลายประเด็น คือ
- เน้นการคัดแยก (triage) ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีตามสภาพความเจ็บป่วย ในขณะเดียวกัน ก็เพื่อจำแนกกลุ่มผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อที่อาจจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคในโรงพยาบาลได้ แล้วแยกการดูแลออกไปตามขั้นตอนที่วางไว้
- กำหนดลักษณะของบริการหรือกิจกรรมที่ต้องมีการบันทึกความยินยอมจากผู้ป่วย (informed consent) ได้แก่ การทำผ่าตัดและหัตถการลุกล้ำ การระงับความรู้สึก การทำให้สงบระดับปานกลาง/ ลึกบริการที่มีความเสี่ยงสูง; การเข้าร่วมในงานวิจัยหรือทดลอง; การถ่ายภาพหรือกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของ informed consent อยู่ที่การให้ข้อมูลที่เพียงพอแก่ผู้ป่วย ไม่ใช่การให้ผู้ป่วยเซ็นใบยินยอมโดยไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอ
- เน้นการบ่งชี้ผู้ป่วยที่ถูกต้อง การระบุตัวผู้ป่วยผิดพลาดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในประเทศไทยก็มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นระยะ การระบุตัวผู้ป่วยผิดพลาดรวมถึงการระบุสิ่งส่งตรวจจากตัวผู้ป่วยและชิ้นเนื้อที่ผิดพลาดด้วย ความผิดพลาดนี้นำไปสู่การวินิจฉัย การให้ยา และการให้การรักษาที่ผิดพลาด
Photo by Marcelo Leal on Unsplash
โรงพยาบาลอุบลรัตน์เป็นโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งที่มีความโดดเด่นมากในงานด้านสร้างเสริมสุขภาพและการทำงานกับชุมชน โดยโรงพยาบาลอุบลรัตน์สามารถสร้างให้ชุมชนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของโรงพยาบาล เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงพยาบาล และใช้บริการของโรงพยาบาลด้วยความมั่นใจในคุณภาพบริการ จนเกิดเป็นเครือข่ายสังฆะ-ประชา-รัฐ ที่ทรงพลัง
ตัวอย่างของการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลที่เกิดจากความร่วมมือของชุมชน ได้แก่
การได้รับความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสนับสนุนทุนให้คนในพื้นที่ไปเรียนพยาบาลตั้งแต่ปี 2554 จนในปัจจุบันมีพยาบาลจบกลับมาทำงานในพื้นที่ประมาณ 30 คน
การได้รับทุนสนับสนุนการสร้างตึกสงฆ์อาพาธจากภาคธุรกิจ สนับสนุนการตกแต่งภายในอาคารจากเจ้าคณะอำเภอ และเปิดให้คนอุบลรัตน์เป็นสมาชิกประกันสุขภาพคนละ 1,000 บาทต่อปี (เพื่อให้มีสิทธิในการพักรักษาตัวในห้องพิเศษโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) เพื่อนำเงินค่าสมาชิกมาเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยและอาคารสถานที่
การประสานกับภาคธุรกิจเพื่อให้บริษัทที่ต้องมีการจ้างผู้พิการตามที่กฎหมายกำหนด จ้างงานผู้พิการ แล้วมอบหมายให้ผู้พิการเหล่านี้มาทำงานในโรงพยาบาลอุบลรัตน์และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอำเภออุบลรัตน์ โดยโรงพยาบาลมอบหมายงานที่เหมาะสมกับศักยภาพของผู้พิการแต่ละราย ส่งผลให้โรงพยาบาลมีกำลังคนเพิ่ม และผู้พิการก็ได้รับการยอมรับในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
การสร้างกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดสารพิษและทำไร่นาสวนผสม โดยนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาสู่การปฏิบัติ แล้วนำพืชผักเหล่านี้มาจำหน่ายในโรงพยาบาล และใช้ในโรงครัวของโรงพยาบาล
Photo by Larm Rmah on Unsplash
การพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยในระบบบริการสุขภาพได้ก้าวมายาวไกล แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาด้วยผู้คนที่อยู่ในวิชาชีพด้านสุขภาพ ทำให้พบข้อจำกัดบางอย่างที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ดังนั้น ด้วยความเชื่อที่ว่าถ้าให้ผู้ป่วยและญาติเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพมากขึ้น มองเขาเหล่านั้นไม่ใช่เพียงผู้มารับบริการ แต่เป็นพันธมิตรในการร่วมพัฒนา การพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยในระบบบริการสุขภาพก็น่าจะประสบความสำเร็จมากขึ้น
สรพ. ได้ริเริ่มทดลองใช้เครื่องมือตลอดจนดำเนินโครงการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในการพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยในระบบบริการสุขภาพ ดังนี้
การสร้าง application ที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถสะท้อนความรู้สึกและความคิดเห็นที่มีต่อบริการที่ตนได้รับ (Patient Experience Survey) เพื่อเป็นข้อมูลให้โรงพยาบาลนำไปปรับปรุงคุณภาพบริการ การกรอกข้อมูล ผู้ป่วยสามารถ scan QR Code ที่ติดอยู่ตามโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 163 แห่ง
การให้ผู้ป่วยเข้ามาร่วมประเมินผลลัพธ์การรักษาพยาบาลในมุมมองของผู้ป่วย (Patient-Reported Outcome Measures) โดยสรพ.ร่วมกับ สปสช. เขต 1 ได้ทดลองโครงการนำร่องในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าในโรงพยาบาลแพร่ ลำพูน และลำปาง
การเสริมสร้างความตระหนักของผู้ป่วย ในประเด็นสำคัญที่ผู้ป่วยและแพทย์ควรมีการสื่อสารกัน ผ่านบัตรเตือนใจ “อย่าลืมบอกหมอ” และ “อย่าลืมถามหมอ”
การจัดตั้งกลุ่มผู้ป่วยเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย (Patients for Patient Safety) โดยการสนับสนุนทางวิชาการจากองค์การอนามัยโลก โดยกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบและให้ข้อคิดเห็นต่อกิจกรรมและสื่อต่างๆของ สรพ. ที่มีเป้าหมายเพื่อการสื่อสารกับประชาชน
Photo by Matheus Ferrero on Unsplash