วันพุธ, พฤศจิกายน 26, 2025
การสื่อสาร (Communication) ที่ดี จะต้องทำให้เกิดทั้งความเข้าใจใน “สาร” ที่ต้องการสื่อ และเกิดการ “สาน” สัมพันธ์ที่ดีเพื่อร่วมกันทำงานต่อไป   ในการทำงาน ทุกคนจะต้องสื่อสารกันตลอดเวลา ทั้งการสื่อสารกับผู้รับบริการ/ผู้ป่วยเพื่อให้การดูแลรักษา หรือการสื่อสารภายในองค์กรเพื่อการทำงานร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันเป็นยุคของข้อมูลข่าวสารจำนวนมากและรวดเร็ว โดยเฉพาะ ในสถานพยาบาล เป็นองค์กรที่มีแนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงได้มากกว่าองค์กรประเภทอื่น เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับชีวิต รวมทั้งความคาดหวังในผลการทำงานที่มากกว่า ดังนั้นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้การทำงานมีผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น มีความสร้างสรรค์ เชื่อมโยงกัน ลดความขัดแย้ง โดยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้นมีหลากหลายหลักการ/แนวคิดที่จะสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้ “ตัวเรา ตัวเขา ตัวเรื่อง” เป็นหลักการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยเน้นให้ผู้สื่อสารคำนึงถึง 3 องค์ประกอบหลัก ตัวเรา – ผู้สื่อสารควรต้องทำความเข้าใจตนเองก่อนสื่อสาร เช่น เป้าหมายของการสื่อสาร อารมณ์และทัศนคติของ เราขณะสื่อสารเป็นอย่างไร เราจะใช้ทักษะการพูด ฟัง หรือการใช้ภาษากายที่เหมาะสมอย่างไร ตัวเขา – หมายถึงผู้ที่เรากำลังสื่อสารด้วย ซึ่งเราต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น บุคลิก นิสัย มุมมองของเขาเป็นอย่างไร รวมทั้งอารมณ์และสภาพจิตใจของเขาขณะนั้นและสิ่งที่เขากำลังให้ความสำคัญอยู่ เพื่อจะได้กำหนดทิศทางของการสื่อสาร รวมทั้งปัจจัยอื่น เช่น การเลือกใช้คำที่เหมาะสมกับผู้รับสารซึ่งอาจต้องหลีกเลี่ยงใช้คำศัพท์เฉพาะ ตัวเรื่อง – สาระสำคัญของการสื่อสาร ที่ต้องชัดเจนและเหมาะสม เช่น เนื้อหาต้องกระชับ เข้าใจง่าย ตรงประเด็น เนื้อหาควรมีความถูกต้องน่าเชื่อถือ รูปแบบการสื่อสาร (พูด, เขียน, ภาษากาย) ควรเหมาะสมกับบริบทเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น “Choice...
AI เหมือนเพื่อนที่รักเรามาก หวังดีกับเรา “แต่โง่” เนื่องจากบางกรณีค้นหาข้อมูลไม่ได้ จึงพยายามค้นหาข้อมูลที่อาจไม่ถูกต้องมาให้ คือ มั่ว จึงต้องใช้  AI ให้ถูกงาน  อ.ดร.วรรษยุต คงจันทร์ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ปัจจุบัน ใช้ Line เพื่อการสื่อสารกันอย่างกว้างขวาง และเช่นเดียวกันการใช้ Generative Artificial Intelligence (AI) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เป็นระบบประมวลผลของคอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ มีการวิเคราะห์เชิงลึกคล้ายความฉลาดของมนุษย์ และสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นการกระทำได้  ทำความรู้จัก  AI ใน  3  ส่วน  ดังนี้ Part I :  ความสำคัญของการใช้ Generative AI ในการทำงานในยุคดิจิทัล Part II : รู้จักกับ Generative AI คุณสมบัติ และข้อควรระวังในการใช้งาน Part III : ประโยชน์และกรณีศึกษาของการใช้ Generative AI ในการทำงานในยุคดิจิทัล Part I :  ความสำคัญของการใช้ Generative AI...
“การดูแลด้วยหัวใจ คือ การใช้สมองคิดออกแบบระบบให้มีความปลอดภัยต่อคนไข้ ส่วนใจ คือจิตใจของเราที่มีความรักในวิชาชีพ มีความรักในการที่จะทำให้ผู้ป่วยหายจากความเดือดร้อน เจ็บปวด เพราะฉะนั้น “หัว” กับ “ใจ” ต้องใช้ร่วมกันจึงจะมีประสิทธิภาพในการที่จะทำให้คนไข้มีความปลอดภัย การสร้างวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนในการสร้างระบบ Patient Safety” “ถ้าเรามี Mindset ที่ดี  เราล้มได้ เราผิดพลาดได้แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่เราต้องพยายามเรียนรู้ พยายามปรับปรุงระบบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วย” นพ.วันฉัตร ชินสุวาเทย์ หัวข้อ: Patient Safety Story: “ในวันที่หมอส่งเสียงเพื่อความปลอดภัยของคนไข้ First Do No harms” หรือ “ดูแลด้วยหัวใจ เพื่อความปลอดภัยของคนไข้และความไว้ใจที่ยั่งยืน” โดย : นพ.วันฉัตร ชินสุวาเทย์ กรณีศึกษาบทเรียนความไม่ปลอดภัยจากกระบวนการดูแลรักษา ของโรงพยาบาลบางจาก จังหวัดสมุทรปราการ: เหตุการณ์เภสัชกรจ่ายยาผิด โดยจ่ายยาที่มีกรดไตรคลอโรอะเซติก (TCA) ซึ่งเป็นยาที่ใช้ภายนอกให้กับผู้ป่วยเด็ก อายุ 1 ปี 6 เดือน รับประทาน ส่งผลให้เกิดอาการปากและลำคอไหม้ ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้คือ 1) ผู้ป่วยบาดเจ็บสาหัสจากความผิดพลาดเชิงระบบ  2) ครอบครัวมีสภาพจิตใจย่ำแย่และเรียกร้องความเป็นธรรม 3) บุคลากรที่เป็น Second...
“Healthcare Sustainability เป็นการมองอย่างสมดุล (Balance) ระหว่าง Environment Economics and Social ภายใต้การบริหารโดยใช้ข้อมูลจริง (Management by Fact) เพื่อให้องค์กรต้องอยู่ได้ ประชาชนต้องอยู่ได้ และโลกใบนี้ต้องอยู่ได้ อย่างมีความสุขไปด้วยกัน” การพัฒนาความยั่งยืนในสถานพยาบาลและระบบบริการสุขภาพ เป็นความท้าทายสำคัญ ที่ต้องอาศัยการบูรณาการแนวคิด ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการองค์กรอย่างสมดุล การผลักดันให้แนวคิดความยั่งยืน สามารถนำไปสู่การปฏิบัติจริงในบริบทของสถานพยาบาล รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากร การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างระบบบริการสุขภาพที่มีคุณค่าอย่างต่อเนื่องได้ BDMS at a glance: สำหรับ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (Bangkok Dusit Medical Services : BDMS) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2512 ในนาม “บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด” โดยเปิดดำเนินงานภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลกรุงเทพ” ปี 2515 ปัจจุบันมีเครือข่าย BDMS ประกอบด้วย 6 กลุ่มโรงพยาบาลหลัก ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช...
“PDSC ไม่ใช่แค่กระบวนการรับรอง แต่เป็นการพัฒนา คน ระบบ และวัฒนธรรมองค์กรไปพร้อมกัน ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเก่งของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เกิดจากการเก่งร่วมกัน ของทีมที่มีเป้าหมายเดียวกันเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วย การขับเคลื่อน PDSC ต้องเริ่มจาก Passion และความเชื่อในคุณค่าของงาน ผสานกับการทำงานเป็นทีมที่มีความไว้วางใจและการสนับสนุนจากระบบที่เหมาะสม เมื่อทุกฝ่ายผสานพลังกันอย่างกลมกลืน ความเป็นเลิศที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง” การรับรองเฉพาะโรค/เฉพาะระบบ (Program-based Disease Specific Certification: PDSC) เป็นกลไกเชิงวิชาการที่มุ่งพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีความเป็นเลิศในด้านการดูแลผู้ป่วยโรคเฉพาะหรือระบบที่กำหนด โดยเน้นการยกระดับคุณภาพการดูแลให้มีมาตรฐานสูง มีความปลอดภัย และตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการอย่างมีประสิทธิภาพ PDSC ไม่เพียงเป็นเครื่องมือในการประเมินและรับรองคุณภาพ แต่ยังเป็นแนวทางในการบูรณาการการทำงานของทีมสหวิชาชีพเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางคลินิกและประสบการณ์ผู้ป่วยที่ดีขึ้น ศ.นพ.กีรติ เจริญชลวานิช (คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชฯ) ถ่ายทอดว่าการทำ PDSC เริ่มต้นด้วยคำว่า “Do the best for the most” ทำทุกอย่างดีที่สุดเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อสังคมที่กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้” ท่านได้แชร์ประสบการณ์ของศิริราชในการทำ PDSC แรกคือ PDSC การผ่าตัดข้อเข่าเทียม ว่าเริ่มจากการสร้างวิธีคิด เราอยากเป็นเลิศให้เป็นที่ประจักษ์เรื่องอะไรบ้าง? การสร้างทีมสำคัญที่สุด ให้มองหาคนที่มีจิตวิญญาณมีความชอบคล้ายกัน คนที่ทำงานคล้ายกัน มาทำทีมร่วมกัน เห็นภาพเดียวกัน ทำในรูปแบบและบริบทของเราเอง ต้อง trust ซึ่งกันและกัน เห็นประโยชน์เพื่อองค์กร และผู้รับบริการเป็นสำคัญ...
“วัฒนธรรมจะเกิดได้ ต้องมีคนทำซ้ำ ทำเหมือนเดิม ทำแล้วทำอีก” และ “คนนั้นควรเป็นผู้นำองค์กร และควรอยู่นานพอ” จึงจะสามารถปลูกฝังพฤติกรรมให้หยั่งรากในองค์กรได้อย่างแท้จริง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 (PDPA) เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจากการนำ PDPA ไปปฏิบัติในโรงพยาบาล ทำให้เกิดข้อสงสัยจำนวนมาก โดยมีตัวอย่างคำถามที่พบบ่อยจากการนำ PDPA ไปปฏิบัติในโรงพยาบาล การขอข้อมูลของโรงพยาบาล ตัวอย่างสถานการณ์ อำเภอ, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขอข้อมูลผู้พิการ เพื่อนำไปทำบ้านให้ ข้อมูลส่วนบุคคล คือ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบุคคลทั้งทางตรง เช่น รหัสประจำตัวประชาชน รหัสประจำตัวผู้ป่วย (Hospital Number: HN) หรือทางอ้อมที่ทำให้ระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลได้ ซึ่งในกรณีดังกล่าวมีข้อพิจารณาคือ เป้าหมายของการใช้งาน/กิจกรรมการประมวลผลที่ชัดเจน ซึ่งผู้เกี่ยวข้องได้แก่ เจ้าของข้อมูล ผู้ควบคุม (โรงพยาบาล), ผู้ประมวลผลข้อมูล (ผู้ที่ได้รับมอบหมายหรือทำตามคำสั่ง/เห็นชอบจากผู้ควบคุมข้อมูล) ในกรณีดังกล่าว เป็นการรับส่งข้อมูลความพิการซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความอ่อนไหวตาม PDPA มาตรา 26 ระหว่าง ผู้ควบคุมข้อมูล (โรงพยาบาลที่ใช้ข้อมูล) ในฐานะเป็นผู้เปิดเผยข้อมูล และผู้ควบคุมข้อมูลข้อมูล (อำเภอ, อปท.)    ในฐานะผู้รวบรวมข้อมูล มีประเด็นพิจารณาในเบื้องต้น คือ 1) ใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือชีวิต โดยผู้พิการนั้นไม่สามารถให้ความยินยอมด้วยตนเอง 2) มีความพิการและจำเป็นต้องได้รับการดูแลที่บ้าน 3) การให้บริการทางการแพทย์การให้บริการทางสังคมสงเคราะห์ 4)...
การถ่ายโอนไปอยู่กับองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น เหมือนได้ พ่อเลี้ยงที่ มีฐานะดีมีเงินมากกว่า การย้ายไปอยู่กับ อบจ. ซึ่งมีงบประมาณสนับสนุน เป็นข้อได้เปรียบ เหมือน สามคน สามี- ภรรยา ทำให้การบริหาร รพสต.ได้เป็นอย่างดี การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยจังหวัดสกลนคร มีทั้งสิ้น 18 อำเภอ ดำเนินการถ่ายโอนแบบทั้งอำเภอ จำนวน 14 อำเภอ และถ่ายโอนแบบไม่ทั้งอำเภอ จำนวน 4 อำเภอ มีสัดส่วนตามสังกัดของ รพ.สต. ที่มีทั้งสิ้นรวม 168 แห่ง ดำเนินการถ่ายโอนอยู่กับ อบจ.จำนวน 149 แห่ง (79.3%) คงอยู่กับ สสจ.สน. 39 แห่ง (20.7%) ด้วยยุทธศาสตร์ ด้านการพัฒนาระบบบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิตามแผนพัฒนาสุขภาพระดับพื้นที่ อบจ.สกลนคร (กสพ.) เป้าหมายการพัฒนากระบวนการบริการสุขภาพปฐมภูมิ คือ 1.ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานบริการสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.2567 (ฉบับปรับปรุง) (กสป.) 2. ผ่านการรับรองมาตรฐานพยาบาลปฐมภูมิ (Primary Care Standardsx: PCA) (สรพ.) 1.องค์ประกอบมาตรฐาน PCU ประกอบด้วย 8 ส่วน ดังนี้ ...
”ความปลอดภัยในระบบบริการสุขภาพเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่สำคัญจากกระบวนการดูแลรักษาที่มีคุณภาพ” Hippocrates ได้มีการประกาศ The Hippocrates Oath “First do no harm” เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิญาณที่จะดูแลคนไข้ให้ปลอดภัย บ่มเพาะ safety culture การดูแลรักษาผู้ป่วยเป็นการมุ่งเน้นที่ความสามารถ ทักษะและประสบการณ์ของแพทย์กับการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเป็นหลัก นำวิธีการรักษาโรคแบบใหม่ที่ต้องวินิจฉัยถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคก่อนแล้วจึงทำการรักษาแทนการรักษาด้วยพิธีกรรมจามความเชื่อต่างๆ เริ่มทำระเบียนบันทึกอาการและประวัติของคนไข้ วางกฎเกณฑ์ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยเป็น Individual competence ต่อมาต้นศตวรรษที่ 20 Dr.Codman เริ่มนำเวชระเบียนมาทบทวน เริ่มต้น Patient care team และเริ่มการทำ mortality and morbidity conferences สถานพยาบาลเริ่มมีการกำหนดมาตรฐานการดูแลขั้นพื้นฐานเพื่อสร้างความมั่นใจ เริ่มมีการกำหนดและกำกับการออกใบอนุญาตในการดูแลรักษา เกิด The Joint Commission on Accreditation of Hospital เป็นครั้งแรกโดยเป็นการรับรองการปฏิบัติตามมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นการปฏิบัติตามกระบวนการเป็นหลักมากกว่าผลลัพธ์ของผู้ป่วย ยังคงมีความเข้าใจที่จำกัดเกี่ยวกับข้อผิดพลาดด้านการดูแลสุขภาพอย่างเป็นระบบ ในปลายศตวรรษที่ 20 มีการมองภาพเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นระบบ Safer Health System อาศัยข้อมูลรายงานในหนังสือ To Err is Human...
“ประเทศไทย เปรียบเสมือนไข่หนึ่งใบ  หากคนไทยมีการเรียนรู้ พัฒนาเติบโต เราจะพัฒนาเป็นเป็น ลูกไก่  แต่หากเราไม่ปรับตัว ถูกบังคับ กดดันจากภายนอก และเราจะเป็น ไข่ดาว”  นพ.อนุวัฒน์ ศุภชุติกุล (ผู้ทรงคุณวุฒิ สรพ.) Fundamental of quality จะเป็นจุดคานงัดระบบบริการสุขภาพ การแปลความเรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ต่างๆ  เป้าหมาย (Purpose) หลักการ(Principle) การมีส่วนร่วม  (Participation) และการปฏิบัติ (Practice) fundamental คือ วิธีคิด จุดคานงัด คือ การปฏิบัติ ซึ่งหากมีแต่คิดไม่ปฏิบัติก็จะไม่ไปถึงฝัน ดังนั้นต้องลงมือปฏิบัติ ซึ่งเป้าหมาย มี 2 ระดับคือ เป้าหมายต่อสังคม และเป้าหมายต่อตัวเอง หลักคิดของการทำงานคุณภาพ คือ เราต้องทบทวนว่าผ่านอะไรมาที่ทำให้เป็นอยู่อย่างปัจจุบัน อะไรเป็นปมในใจ อะไรทำให้เป็นแบบนี้ อะไรที่คุยกันได้  และจะปรับเปลี่ยนอย่างไร แรงจูงใจภายใน คือ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการปรับเปลี่ยน ต้องใช้วิธีคิดที่เป็นโอกาส เรามีโอกาสในการเรียนรู้วิชาชีพ ได้รับโอกาสความไว้ใจจากคนไข้ จะใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาดูแล และพัฒนาให้ดีได้อย่างไร ซึ่งเรามักจะมี เงื่อนไข เป็นเหตุผลในการปฏิเสธในสิ่งที่ไม่อยากทำ คำถามคือ...
องค์การที่มีความยั่งยืน เกิดจากส่วนผสมของการเป็นองค์การที่มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมและองค์การที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน องค์การต่างๆ ได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เช่น องค์การแห่งการเรียนรู้ องค์การแห่งความสุข องค์การนวัตกรรม องค์การสมรรถนะสูง องค์การแห่งความยั่งยืน องค์การแห่งยุคดิจิทัล ซึ่งปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญที่ทำให้สามารถบรรลุวิสัยทัศน์/เป้าหมายที่กำหนดได้นั้นคือ ควรสามารถนำเป้าหมายที่กำหนดไปสู่การปฏิบัติได้ทั่วทั้งองค์การอย่างเป็นรูปธรรม จากงานวิจัยของเรื่อง Alignment for Achieving a Sustainable Organization มุ่งเน้นการค้นหาความสอดคล้อง (Alignment) ภายใต้กรอบแนวคิด Organization Development (OD) หมายถึง การพัฒนาความสามารถขององค์การเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ขององค์การด้วยวิธีการที่หลากหลาย ทั้งในระดับองค์การ หน่วยงาน และระดับบุคคล ซึ่งระบบบริหารทรัพยาบุคคล (Human Resource) จะต้องมีความสอดคล้องและตอบโจทย์เป้าหมายองค์การที่มีวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) ค่านิยมหลัก (Core Value) กลยุทธ์ (Strategy) และบูรณาการกับระบบบริหารทรัพยากรบุคคลอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิผล โดยผ่านกระบวนการวินิจฉัยเพื่อค้นหาปัจจัยและโอกาสในการพัฒนา การกำหนดแผนปฏิบัติการ การบริหารแผนเพื่อนำสู่การเปลี่ยนแปลง การติดตามประเมินผลการพัฒนาองค์การ รวมทั้งการสร้างความยั่งยืน โดยผลของงานวิจัยระบุว่า องค์การที่มีความยั่งยืน (Sustainable Organization) เกิดการการผสมผสานของนวัตกรรม ที่มีความใหม่ มีคุณค่าต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ทำให้มีสมรรถนะสูง...
- Advertisement -

MOST POPULAR

HOT NEWS